หน้าเว็บ

ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไขข้อสงสัย7ประการ…ตัดไม่ตัดปั๊มติ๊ก…อย่างไหนดีกว่ากัน




หลายประเด็นหลายความคิดเห็นเรื่องตัดหรือไม่ตัดปั๊ม ยังไม่มีข้อสรุปฝ่ายตัดก็บอกว่าปั๊มจะได้ไม่พัง เปลี่ยนสะดุดนิดหน่อยไม่เป็นไร ส่วนฝ่ายไม่ตัดก็ให้เหตุผลว่าตอนเปลี่ยนแก๊สกลับมาเป็นน้ำมันจะได้ไม่สะดุด และทางผู้ผลิตหัวฉีดบอกว่าไม่ต้องตัด ยังไม่มีข้อสรุปว่าควรตัดหรือไม่ตัด ต่างก็ว่าของตนดี (ส่วนผมเองก็สรุปไม่ได้เหมือนกันเพราะมันขึ้นกับหลายองค์ประกอบแต่ถ้าเป็นรถลูกค้าผมทางช่างตัดให้ทุกคันไม่มีข้อยกเว้น เราะมันช่วยได้จริง) แต่ก็ฝากประเด็นไว้ให้คิด ดังนี้
1.ว่ากันตามประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการติดตั้ง และแบบหนังสือรับรองการติดตั้ง เครื่องอุปกรณ์และส่วนควบของรถที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง พ.ศ.2551…ข้อที่12 กรณีที่รถใช้น้ำมันเบนซินสลับกับการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ลิ้นเปิดปิดน้ำมันต้องปิดโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ก๊าซ…อันนี้ชัดเจนนะผมว่าไม่ต้องตีความเลย
2.ตามหลักการทำงาน น้ำมันเชื้อเพลิงจะไหลกลับถังทาง fuel return line หรือท่อไหลกลับทำให้เข้าใจได้ว่าไม่จำเป็นต้องตัด เพื่อให้รางหัวฉีดมีแรงดันพร้อมใช้งาน เพียงแค่หลอกหัวฉีดอย่างเดียวก็อยู่ อันนี้ไม่ผิดกติกาครับ แต่ต้องภายใต้เงื่อนไขหลายๆ อย่าง เช่น pressure regulator ต้องทำงานได้ดี ระบบท่อน้ำมันต้องสมบูรณ์ และน้ำมันในถังมีอยู่ไม่น้อยเกินไปไม่งั๊นปั๊มติ๊กร้อน เวลาที่pressure regulator ทำงานจะบีบให้น้ำมันกลับถังน้อยลงเมื่อเราใช้รอบสูงขึ้นเพื่อให้เกิดการสะสมแรงดันน้ำมันที่จะถูกใช้ที่หัวฉีดมากขึ้น แต่ในกรณีใช้แก๊สถ้าไม่ตัดปั๊มติ๊ก เมื่อรอบสูงน้ำมันกลับถังได้ยากขึ้นอัตราการไหลก็ยังเท่าเดิม ทำให้น้ำมันจะอั้นอยู่ในรางหัวฉีดและก่อให้เกิดแรงดันสูงขึ้นกว่าที่ได้ออกแบบไว้ได้ pressure regulator ก็ทำงานหนักพอทำงานหนักก็เสียเร็วขึ้นทีนี้น้ำมันก็ไหลกลับยากขึ้นพอเดินเบาก็กลายเป็นว่าน้ำมันท่วมเดินเบาไม่ดี และก็ทำให้ท่อรับแรงดันมากขึ้นไปด้วยตามกัน
3. ท่อน้ำมันเบนซินที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยและสภาพไม่สมบูรณ์นัก, O-ring หัวฉีด ไม่เคยเปลี่ยนpressure regulator ใหม่ๆบางตัวยังรั่วภายในไม่กี่วัน,สิ่งต่างๆ เหล่านี้มักทำให้เกิดน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วไหลในห้องเครื่องอันนี้ก็เจอบ่อยไปเมื่อเรากลับมาใช้น้ำมัน หากเกิดปัญหา เครื่องจะสั่น เดินไม่เรียบ หรืออาจจะดับในที่สุด ซึ่งทำให้เราต้องลงมาดูในห้องเครื่องและอาจพบปัญหาและแก้ไขได้ในที่สุด แต่ถ้าปัญหา เกิดในขณะที่เราใช้แก๊ส จะเริ่มมีการรั่วซึมของน้ำมัน แต่ยังคงเดินเรียบและเงียบเพราะใช้แก๊ส จานจ่ายหรือไดชาร์จเป็นอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดประกายไฟได้ ท่อร้อนๆก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำมันลุกเป็นไฟได้ และหลายคนมีปัญหาในขณะใช้แก๊สคือ น้ำมันเชื้อเพลิงรั่วจากท่อที่หมดสภาพ โชคดีเจอก่อนก็รอดไปโชคร้ายก็พังอาการหนักเสียเงินเยอะอีก
4. อีกกรณีที่เจอบ่อยๆบางคนใช้แก๊สเพลินจนลืมเติมน้ำมันหรือเติมไว้น้อยๆ ปั๊มติ๊กซึ่งใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการระบายความร้อน หากน้ำมันเหลือน้อย เมื่อใช้แก๊สปั๊มติ๊กยังคงทำงานไม่หยุด ขาดการระบายความร้อนที่ดี ก่อให้เกิดความเสียหายได้
5. วาล์วกันกลับหรือที่เรียกว่าcheck valve หรือone-way valve ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นตัวกักน้ำมันให้ค้างอยู่ในท่อเมื่อปั๊มติ๊กหยุด ดังนั้นน้ำมันจะเต็มระบบอยู่ตลอดเวลาและพร้อมสำหรับใช้งานในรางหัวฉีด แรงดันจะขึ้นสู่แรงดันใช้งานได้ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงวินาทีหลังจากสตาร์ทรถ ดังนั้นเปลี่ยนจากแก๊สเป็นน้ำมันสำหรับรถที่ตัดปั๊มติ๊กจะไม่ส่งผลให้เครื่องดับอาจมีเพียงแค่สะดุดนิดหน่อยในรถที่มีอายุงานมากแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วดับอันนี้ต้องตรวจสอบแล้วล่ะครับ
6. อีกหนึ่งข้อมูลที่สนับสนุนการตัดปั๊มก็คือศูนย์บริการรถยนต์ ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ทางศูนย์แนะนำให้ตัด เพราะพบว่าลูกค้าหลายรายมีปัญหาท่อน้ำมันเชื้อเพลิงมีอาการบวมจากแรงดันที่สูงกว่าปกติ บางครั้งถึงขั้นต้องเปลี่ยนปั๊มเลยเพราะวัดแรงดันน้ำมันแล้วไม่ได้ค่ามาตรฐาน
7.ในส่วนของลูกค้าที่อู่ผมเองจะตัดให้ลูกค้าทุกคันเพราะป้องกันปัญหาได้แน่นอนและการเปลี่ยนระบบจากน้ำมันเป็นแก๊สช่างต้องทำการตรวจสอบทุกคันก่อนปล่อยรถให้ลูกค้าและส่วนตัวผมเองรถที่ใช้อยู่ก็ตัดปั๊มเหมือนกัน เพราะรถรุ่นเดียวกันที่ไม่ได้ตัดผมก็เปลี่ยนปั๊มไปหลายคัน น้ำมันที่เติมก็มีส่วน รถใช้แก๊สนั้นไม่ควรเติมแก๊สโซฮอล์แช่ในถังนานๆเพราะแก๊สโซฮอล์กัดท่อยาง แช่นานๆท่อยางก็บวม ยางO-Ringก็บวม เป็นไปได้ควรเติมเบนซินธรรมดาก็พอและที่สำคัญการบำรุงดูแลรักษาต้องเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ดูแลตามที่ควรจะทำทั้งระบบน้ำมันและระบบแก๊ส ป้องกันไว้ก่อน อย่าให้เกิดเหตุดีกว่าครับ

จากช่างเต่า ช่างเทคนิคนภัทรเจริญยนต์ อู่BKK AUTO SERVICE

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น